เทศน์เช้า

รูปแบบ

๒ เม.ย. ๒๕๔๓

 

รูปแบบ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถ้าใช้แต่ความอุกฤษฏ์ ใช้แต่ความจริงจังขึ้นไป เหมือนกับคนใช้แรงงานไม่ใช้ปัญญาไง แต่เวลาอาจารย์จวนนั่งอยู่หน้าผา นั่งบนหน้าผานะ พื้นที่นั่งมันเรียบ แล้วก็จริงจังเข้าไป ไปนั่งบนขื่ออะไรเดี๋ยวมันก็ตก มันเหมือนกับตาเถรส่องบาตรนะ ตาเถรส่องบาตรเห็นเขาทำก็ทำตาม แต่มันต้องสมควรสิ ถ้าตาเถรส่องบาตร กิริยาการนั่งที่อันตรายนี่มันเป็นไปได้ มันเป็นไปได้หมายถึงว่าทำให้เราเสียวสันหลัง เรากลัวได้ มันทำให้เราทำความสงบได้มากขึ้น

ทีนี้ไปนั่งบนขื่อ มันควรจะทำที่นั่งให้มันเป็นไปได้ ไปนั่งอย่างนี้เมื่อไหร่มันก็ตก คือว่ามันเสี่ยงอันตรายเกินไป มันเป็นแบบว่ามันไม่ใช่ มันเป็นรูปแบบ ได้แต่รูปแบบมาแต่ไม่มีปัญญาตามมาด้วย พอตกลงมาขาลีบเลย มี... มันเป็นไปได้จริงๆ นะ

ถึงบอก โอ... อยู่ที่อาจารย์นะ อยู่ที่ผู้ชี้นำ อาจารย์ชี้นำอย่างไร ถ้ามันเป็นการที่ว่าเราขึ้นไปนั่งเพื่อจะให้ความน่ากลัวมันช่วยกดถ่วงใจ... เป็นไปได้ กดถ่วงใจให้ใจมันสงบเข้ามาๆ เวลาเราเข้าป่า เอาความกลัวอาศัยอย่างนั้นไง อาศัยความกลัว อาศัยผี อาศัยอะไรนี่

ที่สงัด เห็นไหม การทำความเพียรถึงต้องในที่สงัด ที่วิเวก ที่ว่ามันเสียวยอกสันหลัง มันกลัวมันจะได้รวบรวมอันนั้นเข้ามา แต่ไอ้นี่พอมันไม่ได้อย่างนั้น อาศัยตรงนี้เข้าไป แต่เข้าไปมันทำให้ตกลงมาเสียไปเลยนะ ทำให้เสียหายไปเลย

มันถึงว่าถ้าเป็นรูปแบบ ความเป็นรูปแบบ เราคิดว่ารูปแบบ ประเพณีวัฒนธรรมนี่เป็นรูปแบบ มันเป็นระเบียบ เหมือนอาจารย์มหาบัวบอก “แกงหม้อใหญ่” แกงหม้อใหญ่รสชาติไม่ค่อยดี แต่กินได้ทุกคน ระเบียบวินัยเหมือนกันนะ จะประเพณีวัฒนธรรมเพื่อจะให้คนทำได้เหมือนกัน

มันถึงว่าถ้าเข้มเกินไปคนอื่นก็ทำไม่ได้ ถ้าคนเข้มเกินไปก็ว่าประเพณีนี้อ่อนเกินไป แต่ถ้าเราปฏิบัติเข้าไป กิริยาของการปฏิบัติ นั่งจำเป็นต้องนั่งมากไหม? ถ้าจำเป็นต้องนั่งมาก เราจะนั่งเอานาฬิกากันเหรอ? ไม่ใช่นั่งเอานาฬิกา

จำเป็นต้องนั่งมากเพื่อ! เพื่อให้เวลามันมีขึ้นมา แต่ถ้าต้องนั่งมากหมดเลย คนที่เขานั่งน้อยๆ แล้วจิตของเขาสงบขึ้นมา เขาก็ทำได้ นั่งมากนั่งน้อยมันอยู่ที่จริตนิสัยคนนั้น นั่งมากหรือนั่งน้อยทำความเพียร แต่มากไว้ดีกว่า เพราะมากไว้มันทำให้มันมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ง่ายกว่า โอกาสที่จะเป็น เห็นไหม ถ้านั่งน้อยโอกาสจะไม่ได้ หนึ่ง แล้วความเพียร เวลามันทำขึ้นไป โอกาสที่จะทำคือว่ามันเห็นช่องทางเข้าทำได้ นี่มันต้องทะลุไอ้ประเพณีนั้นเข้าไปไง ประเพณีนี่เป็นรูปแบบ

นี่เหมือนกัน การนั่งนี่เป็นรูปแบบ เอารูปแบบมานั่งแล้วว่าต้องเสี่ยงอย่างนั้นๆๆ เหมือนตาเถรส่องบาตร เห็นไหม กิริยาการส่องบาตรบอกว่าถูกต้อง แต่ต้องบอกว่าความหมายไม่ใช่ส่องบาตรเฉยๆ ความหมายของครูบาอาจารย์เอาบาตรขึ้นมาส่องเพื่อดูว่าบาตรนี้ชำรุดไหม บาตรนี้ทะลุไหม มันก็มองเห็น

กิริยานั่งก็เหมือนกัน นั่งให้เหมือนๆ แต่ถ้าจิตมันสงบเข้าไปๆ ความนั่งนี้นั่งเพื่อเอาใจ เอาให้ใจสงบใช่ไหม? ต้องการความสงบของใจ เพราะความสุขอันนั้นมันเกิดขึ้น ถ้าใจสงบขึ้นมา มันเป็นการการันตีบุคคลคนนั้นเองว่าจิตมันเข้าไปสัมผัสกับความสงบ

เราปล่อยวางอารมณ์ เวลาเราสบายใจ เรายังสบายใจได้ แต่ความสบายใจนี้มันเป็นอามิส เกิดขึ้นจากทาน เกิดขึ้นจากจินตนาการเกิดขึ้น แต่ถ้ามันเป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากความสงบขึ้นมา มันไม่ใช่เกิดจากอามิส มันเกิดจากใจนั้นสัมผัสจริงๆ เพื่อใจนั้นปล่อยวางได้จริงไง

ความปล่อยวางได้จริงมันก็ทำให้มั่นใจขึ้นมา สัมผัสได้จริง มั่นใจ คือว่าไม่ต้องมีคนบอก รู้เอง เห็นเอง ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน มันก็มั่นคงขึ้นมา นี่ใจมั่นคง เริ่มใจมั่นคงขึ้นมา เห็นไหม ใจอ่อนแอ ร่างกายอ่อนแอ ร่างกายบางคนแข็งแรง บางคนอ่อนแอ แต่จิตใจที่เข้มแข็งอยู่ในร่างกายอ่อนแอก็ได้

ถ้าอยู่ในร่างกายที่อ่อนแอ การทำความเพียรทำไป แต่หัวใจเข้มแข็งมันพลิกแพลงไป ถ้าหัวใจอ่อนแออยู่ในร่างกายที่เข้มแข็ง เห็นไหม ต้องนั่งให้มากขึ้นมา นี่เหตุการณ์ถึงอดอาหารไง ที่ว่าให้อดอาหารอดอาหารเพื่อตรงนี้ไง เพื่อที่ว่าให้ร่างกายมันไม่มีพลังงานเหลือใช้มากเกินไป ร่างกายที่เข้มแข็ง จิตใจที่อ่อนแอ ถ้าจิตใจที่เข้มแข็งอยู่ในร่างกายที่อ่อนแอ นี่มันถึงไม่แน่นอน คือว่าจิตใจที่เข้มแข็งจะอยู่ในร่างกายที่เข้มแข็งนั้นเท่านั้นอย่างนั้นเหรอ?

จิตใจมันส่วนจิตใจนะ ร่างกายส่วนร่างกาย กรรมของคนไม่เหมือนกัน กรรมของแต่ละบุคคลสร้างมาไม่เหมือนกัน ร่างกายหรือจิตใจ เห็นไหม กรรม ดูสิ ดูพระอรหันต์ในครั้งพุทธกาลสิ มีพระนันทะรูปร่างเหมือนพระพุทธเจ้าเปี๊ยะเลย ขนาดว่าไปไหนคนจะนึกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่นะอาการ ๓๒ เป็นมหาบุรุษ ที่ว่าร่างกายนี่งดงามมาก พระนันทะนี่เกือบเทียบเท่าได้เลย แล้วเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน

แล้วที่พระอรหันต์ที่ว่าเป็นคนเตี้ย เห็นไหม ที่ว่าเขาไม่รู้ นึกว่าเป็นเณรเด็กตัวค่อมๆ ก็นึกว่าอันนี้เป็นที่ว่าเป็นน่าเอ็นดู ไปลูบหัวเล่น พระพุทธเจ้าบอก “ไม่ได้นะ อันนั้นเขาพระอรหันต์เหมือนกันนะ เป็นบาปเป็นกรรม” ไปเตือนพระเลยนะ นี่พระพุทธเจ้าเป็นคนบอกเองว่าเป็นพระอรหันต์

ถึงบอกว่าเป็นพระอรหันต์คือจิตใจเสมอกันด้วยความเป็นพระอรหันต์ แต่ร่างกาย กรรมของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน บางคนมีร่างกายที่เข้มแข็ง ร่างกายที่อ่อนแอ ฉะนั้นถึงว่ากรรมของคนสร้างมาไม่เหมือนกัน การสร้างมาไม่เหมือนกันนี่คือว่าต้องเป็นระเบียบวินัยนะ ถึงว่ารูปแบบมันสำคัญตรงนั้น จะบอกว่าไม่สำคัญก็ไม่ได้ ถ้าเราติดนะ

ดูอย่างครั้งพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าออกไปโปรดสัตว์ เห็นไหม แล้วมีมาณพคนหนึ่งเอาน้ำลูบทั้งวัน กราบทิศ เอาน้ำเปียกกราบทิศทั้ง ๖ เห็นไหม แล้วก็ต้องแช่น้ำด้วย พระพุทธเจ้าบอกว่า “พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น” นั่นน่ะรูปแบบของเขาทำอยู่ เพราะเขามีความเพียรอยู่ แต่ความเพียรเขาไม่ถูกทาง พระพุทธเจ้าบอกว่า “ถ้าเคารพทิศพระพุทธเจ้าคือไม่เคารพทิศอย่างนี้ เขากราบทิศเฉยๆ” พระพุทธเจ้าบอกว่า เคารพทิศ เคารพครูบาอาจารย์ เคารพพ่อแม่ เคารพคือว่าเพื่อนทิศ นี่บริหารทิศ ทิศของเราทิศทั้ง ๖ กับทิศของเขาไม่เหมือนกัน

นี่เขามีรูปแบบอยู่แล้ว เพียงแต่พลิกให้เข้า ประเพณีวัฒนธรรมนี้ถึงเป็นอย่างนั้นไป ประเพณีวัฒนธรรม เห็นไหม ดูสิคล้ายๆ กันเพราะว่าออกมาจาก ดูสิถ้าเป็นทางตะวันออก ออกมาจากพระไตรปิฎกเหมือนกัน เพียงแต่จะจับตรงไหนใช้

อย่างเช่นเราคนจีน เห็นไหม เชงเม้ง การเข้าไปเคารพปู่ย่าตายาย ทำความเคารพ สงกรานต์ก็เหมือนกัน สงกรานต์ของคนไทยเขาก็เอากระดูกมาบังสุกุลเหมือนกัน เป็นการเคารพเหมือนกัน เพียงแต่ใช้ประเพณีอย่างไร อันนี้เป็นประเพณี ถ้าเราทำได้เราก็ทำของเราไป ถ้าเราทำไม่ถึงตรงนั้น เราก็ผ่อนออกมา

แต่เวลาทำความสงบเข้าไปนี่สิ ต้องผ่านประเพณีนี่เข้าไป เราจะมองลึกเข้าไปอีก อย่างที่ว่าตาเถรส่องบาตรนะ ส่องบาตรอย่างหนึ่ง แต่เป้าหมายอย่างหนึ่ง อันนี้ทุกคนเป้าหมายต้องการพ้นจากความทุกข์ไง ปรารถนาจะพ้นจากความทุกข์ ปรารถนาจะให้สัมผัสแต่ความสุข ความสุขอย่างนี้นี่บุญกุศลให้มาเป็นเปลือกเหมือนกัน บุญกุศล เห็นไหม เป็นอามิสทาน ทานนี้เป็นอามิสเกิดขึ้นเพื่อจะให้ทำเป็นบุญกุศลสละออกไป เพื่อจะให้ใจได้มาๆ

พอใจมันใช้ขับเคลื่อนไป บุญกุศลส่งให้ดีขึ้นๆ นี่บุญกุศล แล้วถึงว่าบุญกุศลทำให้ละเอียดเข้าไปเป็นกุศลจริงๆ ของใจ มันสัมผัสเอง เห็นไหม มันไม่เป็นอามิส แล้วมันยังแนบไปกับเนื้อของใจ กิเลสมันก็อยู่ที่ใจเป็นเนื้อของใจเหมือนกัน

แต่บุญกุศลนี่เป็นเหมือนกับวาสนาบารมีสะสมมา สะสมมาเป็นพลังงานขับเคลื่อน พลังงานขับเคลื่อนเป็นพลังงานขับเคลื่อนออกมาจากใจตัวนั้น ใจตัวนั้นเป็นเนื้อของกิเลสอยู่ ถึงต้องทำความสงบเข้าไปนะ

ตื้นๆ เห็นไหม ขันธ์คือว่าอารมณ์ความรู้สึก ขันธ์ ความตื้นๆ ใช้อามิสทานเข้าไปมันก็เห็นเหมือนกัน ความตื้นๆ นะ เพราะมันมีความอยากความไม่อยากเหมือนกัน มันระดับเดียวกันไง ระดับตื้น ทำให้มีความสุขในระดับตื้นๆ

ระดับที่ลึกลงไป เห็นไหม จิตนี้สงบเข้าไป เนื้อของจิตสงบเข้าไป กิเลสมันยุบยอบตัวลง จิตนี้สงบได้ นี่บุญกุศลเกิดขึ้น กุศลอันนี้กุศลของใจ กุศล เห็นไหม ขาวแล้วดำ บุญกุศล... อกุศลภายในลึกเข้าไปๆ พอลึกเข้าไป มันต้องเอาตื้นๆ เข้ามาก่อน ชักนำเข้ามา พอลึกลงไปตรงนั้นมันก็ทำให้กิเลสมันยุบยอบตัวลง ลึกลงไปหน่อยหนึ่ง เห็นไหม ลึกลงไปตรงนี้ ทีนี้ความคิดอันนั้นอันใหม่เกิดขึ้น วิปัสสนาเกิดขึ้น อันนั้นอีกอันหนึ่ง อันนั้นชำระกิเลสเข้าไป

ถ้าชำระกิเลสเข้าไปแล้ว จะย้อนกลับมาเห็นตื้นๆ ความตื้นๆ เข้ามาเป็นทางเข้ามา ประเพณีวัฒนธรรมนี้เป็นทางเข้ามา แต่ถ้าไปยึดถือประเพณีวัฒนธรรมตรงนั้น มันก็เข้าไปในระดับลึกไม่ได้

ย้อนกลับมาไอ้เรื่องที่เกิดขึ้น เขาก็มองกันเฉยๆ ไง เห็นไหม เงินกุศลนั้นเป็นเงินกุศล พระเหมือนพระไง แต่ไม่ได้คิดถึงว่าหัวใจของพระไม่เหมือนกัน หัวใจคนที่ทำแล้วเขาไม่ทำอย่างนั้น อาจารย์นี้ไม่ได้ทำเพื่อว่าทำให้มันสำเร็จไปเฉยๆ ทำแล้วยังตามหาดูผลงานของตัวเอง ทำแล้วไม่ทำเปล่าๆ ยังตามดูไง

ใจคนไม่เหมือนกัน ใจคนตื้นๆ ก็ทำตื้นๆ ใจคนมันไม่ตื้นนี่ มันลึกแล้วหยั่งลึกถึงกับเป็นหลักได้ เขาถึงจะมาลูบๆ คลำๆ อย่างนั้นไม่ได้ แล้วลูบๆ คลำๆ พอเจอของจริงเข้าไป มันก็ร้องหมดแหละ

จริง... ตามหาจริง ตามดูจริง ตามดูจริงมันก็ดูแลรักษาไปจนถึงที่สุด จนกว่าท่านจะหมดไป อันนั้นถึงหมดไป

บุญกุศล เห็นไหม ทำความดีแล้วคนเชื่อถือ พอคนเชื่อถือขึ้นมา แล้วแต่ว่าจะทำไป แต่ท่านก็ไม่ทำให้ถึงกับบ้านเรือนปั่นป่วนหรอก เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน แต่มีอย่างเดียวเท่านั้นแหละ เลิกอย่างเดียว เลิกแล้วไม่ทำไป ถ้าเลิกอย่างเดียวเขาก็เสียหายแล้ว เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ให้ความร่วมมือเลย เสร็จแล้วยังได้ใช้สอยในอันนี้

พอได้ใช้สอยแล้วถึงให้มันจะมารวบรัดเอาอีก มันเป็นไปไม่ได้ พอเป็นไปไม่ได้ พอของจริงขึ้นมา ของจริงฟังดูสิ เห็นไหม ของจริง ทอง มันอยู่ที่ไหนมันโดนไฟมันก็เป็นทองอยู่วันยังค่ำ นี่ของจริง มันพิสูจน์ความจริงอยู่ ถ้าของไม่จริง พอมาเจอของจริงเข้ามันก็ต้องถอย พอมันถอยมันก็นี่

“บารมีธรรมสมควรสะสมอย่างยิ่ง” ดูสิ แม้แต่อำนาจรัฐ เห็นไหม ถ้ามีอำนาจ เขามีอำนาจจริงๆ เขายังไม่กล้าเลยนะ กับอำนาจรัฐ เขามีอำนาจอยู่ในมือ แต่บารมีธรรม ธรรมมันเหนือโลกนะ ทำให้เขาหวั่นไหวได้ไง เขาหวั่นไหว เขาเลิกไปมันก็จบ เอวัง